8 เคล็ดลับดูแลรอยแผลเป็นให้จางลง

เคล็ดลับดูแลรอยแผลเป็นให้จางลง

รอยแผลเป็น เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล เพราะอาจส่งผลต่อความสวยงาม และความมั่นใจ อย่างไรก็ตามมีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นให้ดูจางลงได้

ประเภทของรอยแผลเป็นที่พบบ่อย

  1. รอยแผลเป็นเรียบ (Normal scar)
    เป็นรอยแผลเป็นที่พบบ่อยที่สุด มีลักษณะเรียบ สีใกล้เคียงกับสีผิวปกติ มักเกิดจากแผลที่หายสนิท โดยไม่เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ
  2. รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic scar)
    มีลักษณะนูน แดง แข็ง ใหญ่กว่ารอยแผลเดิม มักเกิดจากแผลที่หายช้าหรือแผลที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ
  3. รอยแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid scar)
    มีลักษณะนูน แข็ง สีแดงหรือม่วง ลุกลามเกินขอบเขตของรอยแผลเดิม มักเกิดจากรอยแผลไฟไหม้ รอยแผลจากการผ่าตัดหรือรอยแผลที่อยู่บริเวณที่มีแรงตึง
  4. รอยแผลเป็นหลุม (Atrophic scar)
    มีลักษณะบุ๋ม มักเกิดจากสิว อีสุกอีใส หรือรอยแผลจากการฉีดวัคซีน
  5. รอยแผลเป็นหดรั้ง (Contracture scar)
    มีลักษณะตึง หดรั้ง มักเกิดจากแผลไฟไหม้หรือรอยแผลที่มีการติดเชื้อรุนแรง

เคล็ดลับดูแลรอยแผลเป็น

1. ดูแลแผลให้สะอาดและชุ่มชื้น

ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดวันละ 2 ครั้ง เช็ดแผลให้แห้งสนิท ทายาฆ่าเชื้อ ทาวาสลีนหรือครีมบำรุงผิว ปิดแผลด้วยผ้าปิดแผล เปลี่ยนผ้าปิดแผลวันละ 1-2 ครั้ง

2. นวดแผลเป็น

เริ่มนวดแผลเป็นเมื่อแผลหายสนิท นวดเบาๆ ประมาณ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง

3. ประคบเย็น

ประคบเย็นบริเวณแผลเป็น ประมาณ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง

4. ทายากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์

ทายากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ บริเวณแผลเป็น ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 4-6 สัปดาห์

5. ทายาซิลิโคนเจล

ทายาซิลิโคนเจล บริเวณแผลเป็น ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 6-12 เดือน

6. เลเซอร์

การรักษารอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพแต่มีค่าใช้จ่ายสูง

7. ผลัดผิว

การผลัดผิว ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นโดยวิธีการต่างๆ เช่น การขัดผิว การทำเคมีพอกหน้า การทำเลเซอร์

8. ศัลยกรรม

การผ่าตัดเอาแผลเป็นออก เป็นวิธีสุดท้าย สำหรับรอยแผลเป็นที่ใหญ่และรอยแผลเป็นที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล

ข้อควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงการแกะเกาแผล
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงอาหารแสงแดด

การรักษารอยแผลเป็นต้องใช้เวลาและความอดทน ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อเลือกวิธีการรักษา ที่เหมาะสมกับรอยแผลเป็นของแต่ละบุคคล