รอยแผลเป็น เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล เพราะอาจส่งผลต่อความสวยงาม และความมั่นใจ อย่างไรก็ตามมีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นให้ดูจางลงได้
ประเภทของรอยแผลเป็นที่พบบ่อย
- รอยแผลเป็นเรียบ (Normal scar)
เป็นรอยแผลเป็นที่พบบ่อยที่สุด มีลักษณะเรียบ สีใกล้เคียงกับสีผิวปกติ มักเกิดจากแผลที่หายสนิท โดยไม่เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ - รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic scar)
มีลักษณะนูน แดง แข็ง ใหญ่กว่ารอยแผลเดิม มักเกิดจากแผลที่หายช้าหรือแผลที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ - รอยแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid scar)
มีลักษณะนูน แข็ง สีแดงหรือม่วง ลุกลามเกินขอบเขตของรอยแผลเดิม มักเกิดจากรอยแผลไฟไหม้ รอยแผลจากการผ่าตัดหรือรอยแผลที่อยู่บริเวณที่มีแรงตึง - รอยแผลเป็นหลุม (Atrophic scar)
มีลักษณะบุ๋ม มักเกิดจากสิว อีสุกอีใส หรือรอยแผลจากการฉีดวัคซีน - รอยแผลเป็นหดรั้ง (Contracture scar)
มีลักษณะตึง หดรั้ง มักเกิดจากแผลไฟไหม้หรือรอยแผลที่มีการติดเชื้อรุนแรง
เคล็ดลับดูแลรอยแผลเป็น
1. ดูแลแผลให้สะอาดและชุ่มชื้น
ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดวันละ 2 ครั้ง เช็ดแผลให้แห้งสนิท ทายาฆ่าเชื้อ ทาวาสลีนหรือครีมบำรุงผิว ปิดแผลด้วยผ้าปิดแผล เปลี่ยนผ้าปิดแผลวันละ 1-2 ครั้ง
2. นวดแผลเป็น
เริ่มนวดแผลเป็นเมื่อแผลหายสนิท นวดเบาๆ ประมาณ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
3. ประคบเย็น
ประคบเย็นบริเวณแผลเป็น ประมาณ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
4. ทายากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์
ทายากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ บริเวณแผลเป็น ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 4-6 สัปดาห์
5. ทายาซิลิโคนเจล
ทายาซิลิโคนเจล บริเวณแผลเป็น ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 6-12 เดือน
6. เลเซอร์
การรักษารอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพแต่มีค่าใช้จ่ายสูง
7. ผลัดผิว
การผลัดผิว ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นโดยวิธีการต่างๆ เช่น การขัดผิว การทำเคมีพอกหน้า การทำเลเซอร์
8. ศัลยกรรม
การผ่าตัดเอาแผลเป็นออก เป็นวิธีสุดท้าย สำหรับรอยแผลเป็นที่ใหญ่และรอยแผลเป็นที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล
ข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงการแกะเกาแผล
- หลีกเลี่ยงแสงแดด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงอาหารแสงแดด
การรักษารอยแผลเป็นต้องใช้เวลาและความอดทน ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อเลือกวิธีการรักษา ที่เหมาะสมกับรอยแผลเป็นของแต่ละบุคคล